นายกฯ อิ๊งค์ ปาฐกถา สัมมนา PRACHACHAT THAILAND 2025 ชี้ กระตุ้นเศรษฐกิจเป็นเรื่องแรก ยก 3 ทางรอด ยันรัฐบาลครบเทอม นัดฟัง 12 ธ.ค.นี้ โชว์ผลงาน 90 วัน อวดของขวัญปีใหม่
เมื่อเวลา 09.30 น.วันที่ 21 พ.ย.2567 ที่ห้องบอลรูม 1 ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดงานสัมมนา PRACHACHAT THAILAND 2025 โอกาส ความหวัง ความจริง และกล่าวปาฐกถาพิเศษ “ประเทศไทย : โอกาส-ความหวัง-ความจริง” มีนางมนพร เจริญศรี รมช.คมนาคม นายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี มาร่วมงาน โดยมีคณะผู้บริหารในเครือมติชน ให้การต้อนรับ
ก่อนเริ่มงาน นายกฯ เดินชมบูธหนังสือมติชน พร้อมซื้อหนังสือ จำนวน 8 เล่ม อาทิ สมรภูมิพลิกอำนาจโลก ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับสถานการณ์การเมืองโลกในปัจจุบัน และทำความเข้าใจจุดปะทุทางภูมิศาสตร์ใหม่ภายใต้เกมอำนาจของสามขั้วพร้อมร่วมหาจุดยืนให้ไทยท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงสู่โลกหลายขั้ว ที่กำลังจะเกิดขึ้นในเร็ววัน, หนังสือ ไทยในภายในระเบียบโลก, การออกแบบเมืองของญี่ปุ่น เป็นต้น และถ่ายภาพหมู่ร่วมกับคณะผู้บริหาร
นายกฯย้ำสร้างโอกาสที่จับต้องได้น.ส.แพทองธาร กล่าวเปิดงานว่า รัฐบาลพยายามสร้างโอกาสให้กับประเทศไทยได้มากที่สุด ซึ่งจะเป็นโอกาสแบบไหนก็ต้องเป็นโอกาสที่จับต้องได้ ส่วนตัวชอบคำนี้เพราะการที่จะทำให้คนมีชีวิตที่ดี โอกาสเป็นคำที่สวยหรู แต่โอกาสที่จะจับต้องได้ต้องดูว่าเป็นการที่เราจะใช้โอกาสนั้นให้เกิดประโยชน์กับชีวิตเราได้นี่ คือสิ่งสำคัญที่ต้องการให้เกิดขึ้
เรามองเห็นศักยภาพของคนไทยว่า มีศักยภาพที่สูงมากแต่บางทีโอกาสเขาไม่ถึง หรือมีการซัพพอร์ตที่ไม่เพียงพอ ดังนั้น การกระจายโอกาสจึงสำคัญมาก รัฐบาลจึงเร่งทำในเรื่องนี้ แต่บางอย่างเกิดปัญหาสะสมมานาน เราไม่สามารถใช้ 1-2 วิธีเพื่อการแก้ปัญหาได้ ต้องใช้หลายวิธีในการผลักดันประเทศชาติ และผลักดันเศรษฐกิจให้ไปข้างหน้าได้อย่างแข็งแรง
ชี้กระตุ้นเศรษฐกิจเป็นเรื่องแรก
อย่างแรก สิ่งที่รัฐบาลต้องการจะทำคือ การกระตุ้นเศรษฐกิจการพัฒนาในเรื่องเศรษฐกิจ เพราะเป็นสิ่งสำคัญทำให้ประเทศชาติและคนในประเทศมีการกินอยู่ที่สบายขึ้น เราพูดมาตลอดว่าถ้าคนไทยปากท้องอิ่ม จะดึงศักยภาพที่ซ่อนในตัวจะออกมาเอง ถ้าเบสิกพื้นฐานยังไม่ถูกเติมเต็ม การจะมีความคิดสร้างสรรค์ การผลักดันประเทศจะเป็นไปได้ยาก ฉะนั้น เราถึงพยายามกระจายโอกาสให้ได้มากที่สุดเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ
ส่วนแบ็กกราวนด์เศรษฐกิจ มีการคาดเดาเรื่องการเติบโตของจีดีพี ถ้ารวมทั้งปีประมาณ 2.7% ซึ่งเป็นช่วงที่อยู่ระหว่างการฟื้นตัวแต่ละควอเตอร์ และเราทำได้ดีกว่าที่คาดการณ์ โดยสภาพัฒน์ ประกาศว่าจีดีพีโตขึ้น 3% เป็นสิ่งที่น่าภูมิใจ ส่วนใหญ่ที่เศรษฐกิจเติบโตได้มาจากการลงทุนของรัฐบาลและภาครัฐ
เร่งรณรงค์เมืองไทยเที่ยวได้ทุกที่
ที่สำคัญคือ การท่องเที่ยว เพราะก่อนหน้านี้ก่อน โควิด-19 มีนักท่องเที่ยวประมาณ 40 ล้านคน และตัวเลขได้หายไปอย่างน่าตกใจ ก่อนที่ตนจะเข้ามาการเมืองได้ทำโรงแรมอยู่ เห็นได้ชัดว่าตัวเลขได้หายไปแบบน่าตกใจ และคาดว่าในปีนี้ตัวเลขของนักท่องเที่ยวน่าจะกลับใกล้ 36 ล้านคน และเพิ่มขึ้นกว่าปีที่แล้ว
โอกาสที่ตัวเลขเพิ่มขึ้นมาจากการผลักดันหลายส่วน และโควิดเบาแล้ว มีฟรีวีซ่าตั้งแต่สมัยรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน รวมถึงการพัฒนาสนามบิน ที่อยากให้เป็นสมาร์ทแอร์พอร์ตให้นักท่องเที่ยวที่เข้ามาสามารถเช็กอินได้ โดยไม่ต้องเสียเวลารอคิว แต่ทำเอกสารต่างๆ ที่สนามบินได้ และเราต้องการจะทำให้ต่อเนื่องมากขึ้น
นอกจากนั้นยังมี festival country ทำให้เมืองไทยทุกที่ สามารถท่องเที่ยวได้และให้ต่างชาติรู้จักเมืองรองด้วย โดยใช้วัฒนธรรมที่มีเสน่ห์ เช่น ลอยกระทง สงกรานต์เพื่อให้ต่างชาติ รู้ว่าไม่ได้ท่องเที่ยวแค่จังหวัดใดจังหวัดหนึ่วแต่สามารถเที่ยวได้ทั่วประเทศไทยและอยู่ได้ยาวนาน ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลกำลังรณรงค์อยู่
สร้างเชื่อมั่น-รัฐบาลอยู่ครบเทอม
น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า ในปีหน้าเศรษฐกิจที่เราต้องสร้างไว้จะโตกว่าปีนี้ซึ่งเป็นนิมิตหมายที่ดี เพราะจากการที่ไปประชุมต่างประเทศได้คุยกับต่างชาติ ทุกคนสนใจลงทุนในประเทศไทย เพราะภาคการเมืองมีเสถียรภาพมากขึ้น นักธุรกิจและชาวต่างชาติ จะมั่นใจในการลงทุนมากยิ่งขึ้น
ตนมีหน้าที่บอกทุกคนถึงความเชื่อมั่นว่าเราจะอยู่จนครบ จนมีการเลือกตั้งได้ เพื่อให้ชาวต่างชาติมั่นใจว่าการลงทุนไม่ได้เปลี่ยนแปลง และสิ่งที่นายเศรษฐา เคยได้บอกทั่วโลกไว้ว่าไทยน่าลงทุนอย่างไร และตนก็สานต่อนโยบายเหล่านี้เพื่อให้การลงทุนไม่สะดุด เช่น การที่กูเกิลเข้ามาลงทุน ถือเป็นการตอกย้ำว่าเรายังทำสิ่งนี้อยู่
นายกฯ กล่าวว่า สิ่งที่รัฐบาลต้องรีบทำคือ การใช้งบลงทุน 9.6 แสนล้านบาทให้มีประสิทธิภาพรวมถึงงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจเพราะปกติยุคนี้จะใช้ไม่ค่อยหมด เนื่องจากความล่าช้า ของระบบราชการ ดังนั้นในปี 2568 กำชับต้องใช้เรื่องนี้ให้หมดให้คุ้มค่ากับภาษี
พร้อมรับมือนโยบายใหม่สหรัฐ
น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า ขณะนี้เกิดการเปลี่ยนแปลงของโลกและสหรัฐฯได้ประธานาธิบดีคนใหม่ สิ่งที่เขาทำจะออกไปทางอนุรักษ์นิยมเล็กน้อย จึงมีคำถามว่าน่าเป็นห่วงหรือไม่ และเราจะปรับเรื่องการค้าการลงทุนในประเทศอย่างไร เพราะสหรัฐฯจะพุ่งมาที่ประเทศที่มีสินค้าส่งออกเกินดุลการค้า และสินค้าไทยก็จะถูกจับจ้อง เช่นเดียวกับจีน เพราะไทยส่งออกไปอเมริกาจำนวนมาก ต้องพึ่งพาการส่งออก 60% ของจีดีพี และส่งออกอเมริกา 10% ของการส่งออกทั้งหมด ตรงนี้เราต้องมาปรับว่าจะทำอย่างไรเพื่อไม่ให้เสียโอกาส
นอกจากนั้นต้องผลักดันเครื่องยนต์เศรษฐกิจตัวใหม่ ต้องคำนึงถึง economy scale ที่ไทยเสียเปรียบจีน เพราะเขามีกำลังผลิตมากและการแข่งขันจะสูง จะเกิดสงครามการผลิต ที่รัฐบาลจะต้องช่วยเรื่องของภาษีและการดูข้อกฎหมายและข้อบังคับต่างๆ ให้หนักขึ้น ทั้งการซื้อขายออนไลน์ให้ถูกกฎ ให้เคร่งครัดมากยิ่งขึ้น เพื่อสกรีนและช่วยในเรื่องของเอสเอ็มอีประเทศไทย
โดยภาพรวมของประเทศจีน มีพื้นที่เกษตรของเขาไม่พอต่อการจะผลิตเพื่อบริโภคในประเทศ ยังต้องพึ่งพาสินค้าเกษตรจากประเทศอื่นและประเทศไทย ที่มีการเกษตรที่แข็งแรง การส่งออกแข็งแรง เราจึงต้องช่วยเพิ่มตรงนี้มากยิ่งขึ้น ทั้งการถนอมอาหาร ถนอมสินค้า ให้ไปถึงปลายทางอย่างมีคุณภาพเหมือนกับต้นทาง
ชู3ทางรอด‘อาหาร-สุขภาพ-อุตสาหกรรม’
นายกฯ กล่าวว่า เราต้องหาทางรอดว่าจะต้องทำอย่างไรให้คนไทยมีทางรอด และหาเม็ดเงินใหม่เข้าประเทศเพราะขณะนี้หนี้ครัวเรือนมากมาย โดยเรามี 3 ทางรอด ที่เป็นโอกาสให้จับต้องได้และเรากำลังพัฒนาอยู่
1.อาหาร ที่เรามีจุดเด่น คือครัวไทย ที่ต้องการฟื้นครัวไทยสู่ครัวโลก และประเทศไทย ทำการเกษตรที่ฝากอาหารไว้ในประเทศเราได้โดยการถนอมอาหารก่อนการส่งออก ยกตัวอย่างในการประชุม GMS ที่สปป.ลาว ที่ทั่วโลกให้การยอมรับยอมและมีความ ต้องการเรื่องเนื้อวัว โดยให้ช่วยดูเรื่องคุณภาพ ความปลอดภัย และยังโครงการหนึ่งหมู่บ้าน หนึ่งอาหารไทย ที่ได้การออกใบประกาศเป็นการรับรอง ให้กับเชฟและร้านอาหารไทย
2.สุขภาพ เรามี 30 บาทรักษาทุกที่ เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงนโยบายได้อย่างง่ายดายและไม่เสียเวลารอคอย เป็นสิ่งที่ทั่วโลกยอมรับ นอกจากนั้นต้องพัฒนาโรงพยาบาลให้มีคุณภาพ ซึ่งเรามีโรงพยายาลเอกชนที่มีชื่อเสียง ทางการแพทย์และการบริการที่เป็นทองไทยในระดับโลก และมีธุรกิจที่เกี่ยวกับการออกกำลังกาย เช่น มวยไทย มวยไทย ที่เรามีค่ายมวยในต่างประเทศกว่า 40,000 แห่ง ที่ยังไม่ได้รับการรับรอง จึงต้องมาเพิ่มทักษะให้ได้รับการรับรองเพื่อเพิ่มรายได้ให้กับประชาชน และใช้เทคโนโลยีมาช่วยเรื่องการสกัดสมุนไพรให้เป็นยา เพื่อให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของสุขภาพ
ดึงซอฟต์พาวเวอร์ไทยสร้างรายได้
3.โอกาสทางอุตสาหกรรม ที่สร้างซอฟต์พาวเวอร์ ที่จะช่วยหาเม็ดเงินเข้าประเทศ และแข่งขันกับประเทศอื่นได้ โดยนำซอฟต์พาวเวอร์จากวัฒนธรรมไทย ที่มีมีโอกาสและมีเสน่ห์ที่ต่างชาติสนใจ จึงต้องให้คุณค่าในเรื่องนี้ โดยนำวัฒนธรรมของทุกจังหวัด เข้ามารวมด้วยกันเพื่อให้ประเทศน่าเที่ยวทั้งปี ให้มีเงินหมุนเวียนเข้าประเทศ เช่น การผลักดันเรื่องภาพยนตร์ เมื่อปี 2567 มี 40 ประเทศ เข้ามาถ่ายทำในไทยประมาณ 450 เรื่อง สร้างมูลค่า 190 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และส่วนใหญ่มาจากสหรัฐฯ
ดังนั้น จะเพิ่มการลงทุนเรื่องนี้ 30% เพื่อให้เกิดการเงินหมุนเวียนและการจ้างงาน ทำเกมส์ไทย เช่น โฮมสวีทโฮม ที่นำความเชื่อมาบวกรวมเรื่องราวไสยศาสตร์แบบไทยมาสร้างเอกลักษณ์ให้กับเกมส์ไทยผสมกับเทคโนโลยี และภาพยนตร์เรื่องหลานม่าที่ได้รับการชื่นชมในต่างประเทศอย่างมาก… อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : https://www.khaosod.co.th/politics/news_9514829
ย้ำมีกรรมการเจรจาเอ็มโอยู44
นอกจากนั้นยังมีเรื่องของพลังงาน คือ ก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทย ที่ผู้เชี่ยวชาญระบุว่าอีกประมาณ 10 ปี ก๊าซเหล่านี้หมดไปและขณะนี้เป็นกระแสกันอยู่เรื่องเอ็มโอยู 44 กับทางกัมพูชา ที่เราจะต้องคุยเรื่องนี้ว่าจะต้องแบ่งใช้ก๊าซธรรมชาติร่วมกันอย่างไรจึงต้องมีคณะกรรมการพูดคุยในเรื่องนี้ด้วยโดยไม่เกี่ยวเรื่องเกาะกูด ไม่เกี่ยวและไม่ใช่เพราะเป็นของเราอยู่แล้ว
นอกจากนั้นรัฐบาลและเน้นเรื่องพลังงานสะอาดและพลังงานทางเลือก รวมถึงโซลาร์เซลล์ที่จะต้องผลักดัน และโอกาสที่เราจะผลักดันเรื่องเซมิคอนด็อกเตอร์ ที่กำลังศึกษาว่าประเทศไทยจะเข้าไปมีส่วนร่วมกับอุตสาหกรรมนี้ได้อย่างไร เพื่อให้ทุกคนจับต้องเข้าถึงโอกาสได้และรัฐบาลกำลังทำให้เกิด
12ธ.ค.โชว์ผลงาน-อวดของขวัญปีใหม่
“ทั้งหมดนี้ รัฐบาลมองเห็นโอกาสของประเทศไทยและพยายามหาเม็ดเงินมาเพิ่มทั้งจากต่างชาติและสร้างงานใหม่ที่เกิดขึ้นในประเทศไทย จึงขอฝากทุกคนว่ารัฐบาลจะมีการแถลงสิ่งที่ได้ทำมาในรัฐบาลครบ 90 วันในวันที่ 12 ธ.ค.โดยรับรองว่าจะมีเรื่องของนโยบายที่ดีมาเล่าให้ฟังว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคตและจะมีของขวัญปีใหม่ ที่จะมอบอย่างไรให้กับประชาชน” นายกฯ กล่าว